วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

ชนะแต่เศร้าเจาะประเด็น 5 ข้อ ที่แมนฯยูไนเต็ด ชนะ แต่ไม่ได้ ชิงคาราบาว คัพ

แมนเชสเตอร์ ชิตี้ อาจจะไปไม่สวยเท่าไหร่ แต่ก็เข้ารอบชิงชนะเลิศ ศึกคาราบาว คัพ หลังแพ้ในบ้าน ที่สนามเอติอัล สเตเเดี้ยม ให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 0-1 เมื่อวันพุธที่ผ่านมา เว็บข่าวกีฬา

ฟอร์มการเล่นในเกมนี้ "เรือใบสีฟ้า" ยังคงเหนือกว่าคู่อริร่วมเมือง แต่ขาดเพียงแค่ความเด็ดขาดเท่านั้น ในขณะที่ "ปีศาจแดง" ใช้โอกาสเพียงครั้งเดียวก็เป็นประตู จากการยิงสุดสวยของ เนมานย่า มาติช ซึ่งแมตช์นี้เขาเล่นได้ยอดเยี่ยม แต่น่าเสียดายที่โดนไล่ออกในครึ่งหลัง

    ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ เกมนี้ต้องบอกว่าพวกเขาไม่มีความเฉียบคมเมื่อสร้างโอกาสได้มากมาย โดยเฉพาะจาก ราฮีม สเตอร์ลิง แต่ดูเหมือน สตาร์ทีมชาติอังกฤษ จะขาดความมั่นใจเหลือเกินในช่วงนี้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นด้วยบุญเก่าที่บุกไปถล่ม 3-1 ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ทำให้พวกเขาได้ลุ้นความสำเร็จในซีซั่นนี้ 

1. มาติชพิสูจน์ให้เห็นถึงคุ้มค่าของเขา


โอเล่ กุนนาร์ โซลชา มีแผนที่จะสร้างแผงกองกลางใหม่เมื่อทีมได้ตัว บรูโน่ แฟร์นันด์ส มาร่วมทีม โดยงานนี้นักเตะน่าจะช่วยให้ "ผีแดง" ในเรื่องการสร้างสรรค์โอกาสทำประตูมากยิ่งขึ้น เพราะ ดาวเตะชาวโปรตุกีส มีสถิติการแอสซิสต์และยิงประตูที่ดีเยี่ยม

    ขณะที่ เฟร็ด ก็ค่อยๆ เริ่มแสดงให้เห็นพรสวรรค์ของเขามากขึ้นเรื่อยๆ ในฤดูกาลนี้ และสามารถช่วยทีมได้ดีในช่วงที่ ปอล ป็อกบา กับ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ยังอยู่ในช่วงรักษาอาการบาดเจ็บ และคาดว่าจะกลับมาช่วยต้นสังกัดได้ในเร็วๆ นี้แน่นอน


สำหรับ เนมานย่า มาติช ที่ตอนแรกดูเหมือนว่าเขาจะหมดอนาคตกับทีมไปแล้ว แต่ในช่วงที่ผ่านมา โซลชา ยังคงมองว่าเจ้าตัวยังคงอยู่ในแผนการสร้างทีม เพราะประสบการณ์ของ ดาวเตะเลือดเซิร์บ น่าจะช่วยประคับประครองแดนกลางของทีมได้เป็นอย่างดี

    ในแมตช์นี้ มาติช แสดงให้เห็นแล้วว่า "น้าลูกอม" คิดถูกที่ให้โอกาสเขาลงเล่น เพราะเจ้าตัวสามารถสู้กับ แดนกลางของแมนฯ ซิตี้ ได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญยังยิงประตูสุดท้ายให้ทีมขึ้นนำด้วย นอกจากนี้ อดีตดาวเตะเชลซี เล่นได้โดดเด่นไม่ว่าจะมีบอลหรือไม่มีบอลก็ตาม

น่าเสียดายที่ มาติช ต้องมีรอยด่างพร้อยในเกมนี้เมื่อไปทำฟาวล์ อิลคาย กุนโดกัน ในจังหวะที่ "เรือใบสีฟ้า" สวนกลับ ทำให้โดนใบเหลืองที่สองเป็นใบแดง

2. สเตอร์ลิง ขาดความเฉียบคม 


    ราฮีม สเตอร์ลิง ระเบิดฟอร์มสุดยอดนับตั้งแต่ที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เข้ามากุมบังเหียน แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่สามารถงัดฟอร์มเทพออกมาได้ในแมตช์ที่ปะทะกับแมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งไม่รู้ว่าทัพ "ปีศาจแดง" เป็นของแสลงของ สตาร์ทีมชาติอังกฤษ หรือเปล่า ??

    ปีกจอมพลิ้ว "เรือใบสีฟ้า" ไม่สามารถส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายในเกมพบ "เร้ด เดวิลส์" 19 แมตช์ โดยย้อนไปถึงสมัยที่เขายังค้าแข้งกับ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ด้วย ในแมตช์นี้ สเตอร์ลิง มีโอกาสที่จะทำลายสถิติที่น่าผิดหวังนี้ เมื่อได้ยิงประตูได้จากการส่งบอลของ เควิน เดอ บรอย์น แต่ดันเป็นลูกล้ำหน้า


    นอกจากนี้ยังมีโอกาสทองฝังเพชรเมื่อเขาโชว์สเต็ปเทพในกรอบเขตโทษ พร้อมกับหลอกล่อ ดาบิด เด เคอา จนล้มกลิ้งไปแล้ว แต่ในจังหวะที่ยิงประตูดันตะบันเต็มแรง บอลเหินข้ามคานไปอย่างน่าเหลือเชื่อ ซึ่งทำเอาแฟนบอลแมนฯ ซิตี้ทั้งเอติฮัด สเตเดี้ยม เฮกันเก้อ

    จริงๆ แล้วจังหวะดังกล่าวหากเป็น สเตอร์ลิง เมื่อไม่กี่ปีก่อน แน่นอนว่าบอลคงเข้าไปซุกก้นตาข่าย แต่ตอนนี้นักเตะอาจจะต้องเรียกความมั่นใจกลับคืนมาซะหน่อย เพราะดูเหมือนมีหลายเกมที่เขาได้โอกาสงามๆ แบบนี้ แต่ยิงทิ้งยิงขว้างไปอย่างน่าเสียดาย

3.  เด เคอา เซฟจนเจ็บมือ


    แม้ว่าก่อนหน้านี้ ดาบิด เด เคอา จะมีฟอร์มลุ่มๆ ดอนๆ ไปบ้าง แต่เขาก็ยังคงสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเมื่อทีมจำเป็นต้องการชัยชนะ โดยในแมตช์นี้ นายทวารทีมชาติสเปน ทำให้สาวก "ปีาจแดง" ได้เห็นแล้วว่าเขาโชว์ฟอร์มได้เหนียวหนึบมากแค่ไหน

    แมตช์นี้ นายด่านเลือดกระทิงดุ โชว์ป้องกันอย่างน่าเหลือเชื่อหลายครั้งในครึ่งแรก โดยหากไม่ได้ อดีตผู้รักษาประตู "ตราหมี" แอตเลติโก มาดริด ช่วยเซฟประตู งานนี้บอกเลยว่า "เร้ด เดวิลส์" คงยากที่จะคว้าชัยชนะในแมตช์สำคัญนี้อย่างแน่นอน


    บอกเลยว่า เด เคอา ฟอร์มสุดยอด และทำให้สาวก "เร้ด เดวิลส์" รู้สึกใจชื้นมากๆ เมื่อเห็นเขายืนเฝ้าเสา ขณะเดียวกันทีมก็เกือบเสียประตูในจังหวะที่ ดาบิด ซิลบา มีโอกาสจะๆ หลังจากความผิดพลาดของ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ แต่เดชะบุญที่ไม่เสียประตู

    หากมองในมุมฟอร์มการเล่นของ เด เคอา ต้องยอมรับว่าเหนียวหนึบช่วยทีมเก็บคลีนชีตได้ แต่หากมองในมุมของเกมรับนั่นแสดงให้เห็นว่าทีมสู้แนวรุกของแมนฯ ซิตี้ ไม่ได้เลย และยิ่งมองในมุมของเกมบุก "เรือใบสีฟ้า" ดูเหมือนว่าจะขาดความเฉียบคม

4. เป๊ป มาแผนใหม่

    หลังจากบุกคว่ำ แมนฯ ยูไนเต็ด ในเกมแรก เป๊ป กวาร์ดิโอล่า หันมาเล่นแผนแปลกๆ ในระบบ 3-2-4-1 โดยใช้กองหลัง 3 ตัวได้แก่  ไคล์ วอล์คเกอร์, นิโกลัส โอตาเมนดี้ และชูเอา กานเซโล่ ขณะที่ โรดรี้ เอร์นานเดซ กับ กุนโดกัน ทำหน้าที่เยือนต่ำบริเวณแผงมิดฟิลด์

    ระบบนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าทำเอา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถึงกับมึนตึ๊บแทบจะจัดกระบวนยุทธตั้งเกมรับไม่ถูก และนั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ "เรือใบ" สามารถสร้างโอกาสได้หลายต่อหลายครั้งในช่วงครึ่งแรก แต่ได้ เด เคอา ที่ช่วยเซฟพัลวัน


    แมนฯ ยูไนเต็ด ยังคงใช้แผนเดิมในการตั้งรับสวนกลับ ซึ่งได้ผลดีเยี่ยมในยามที่เจอกับทีมที่เน้นเกมบุก แต่งานนี้การเล่นสไตล์ดังกล่าวใช้ไม่ค่อยได้ผลกับ แมนฯ ซิตี้ อย่างไรก็ตามพวกเขามีทีเด็ดจากการเล่นลูกตั้งเตะ โดย เฟร็ด เปิดเข้าเขตโทษก่อน กุนโดกัน โขกสกัดไม่ดีเลยมาเสาสองเข้าทาง  มาติช ฮาร์ฟวอลเล่ย์ ด้วยซ้ายเบียดเสาเข้าประตู 

    หลังจากเสียประตูเจ้าบ้านใช้วิธีการเล่นเกมไล่กดดันเร็ว และดันขึ้นสูง ทำให้สามารถแย่งบอลกลับคืนมาได้ตลอด โดยเฉพาะในแผงกองกลาง "เรือใบสีฟ้า" เอาชนะมิดฟิลด์ "ผีแดง" และครองเกมได้หมด แต่น่าเสียดายที่ขาดความเฉียบคมทำให้ต้องแพ้ไป

 5. แมนฯซิตี้ เข้าชิง 3 ปีติดต่อกัน


    สำหรับรายการคาราบาว คัพ หลายสโมสรอาจจะมองข้าม แต่สำหรับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มองว่าถ้วยใบนี้มีความสำคัญมากๆ เพราะหากทีมได้แชมป์ แน่นอนว่าจะเป็นเหมือนขวัญกำลังใจในการลุ้นแชมป์ที่เหลืออยู่ ทั้งเอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า แ ชมเปี้ยนส์ ลีก ส่วน พรีเมียร์ลีก คงต้องยอมให้ ลิเวอร์พูล ไปแล้ว

    การที่ "เรือใบสีฟ้า" สามารถทะลุเข้าชิงรายการนี้ได้ นั่นหมายความว่าพวกเขาเป็นทีมที่สามที่สามารถเข้าชิง 3 สมัยติดต่อกันในการแข่งขัน ลีก คัพ (ชื่อเดิม) หลังจากที่ "หงส์แดง" เคยทำได้แล้ว (เข้าชิง 4 สมัยติดต่อกันระหว่างปี 1981-1984) และ น็อตติงแฮมป์ ฟอเรสต์ (1978-1980)

    ส่วนในเกมที่สนามเวมบลีย์ นัดดวล แอสตัน วิลล่า หากจะมองว่าง่ายก็ง่าย แต่จะว่ายากก็ยากเช่นกัน เพราะ "สิงห์ผงาด" ก็ต้องการความสำเร็จในรายการนี้เช่นกัน แม้พวกเขาอาจจะดูเป็นรอง แมนฯ ซิตี้ ก็ตาม แต่บอลนัดเดียว อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้

ติดตามได้ที่ : เว็บข่าวกีฬา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น